7 ท่าออกกำลังกายง่ายๆ เผาผลาญไขมันในเวลาสั้นๆ
วิธีเสริม แรงจูงใจในการลดน้ำหนัก ให้พร้อมพิชิตเป้าหมายอย่างมั่นใจ
November 4, 2024
ลดน้ำหนักแบบคาร์ดิโอ vs ลดน้ำหนักแบบเวทเทรนนิ่ง แบบไหนเหมาะกับคุณ
November 4, 2024

การออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันและเพิ่มความกระชับของร่างกายไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากหรือมีอุปกรณ์ซับซ้อน ปัจจุบันเรามีท่าง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ที่บ้านหรือแม้แต่ในคอนโด สำหรับหลายคนที่มีตารางงานแน่นและไม่มีเวลาออกกำลังกายเป็นเวลานาน ๆ ท่าออกกำลังกายเหล่านี้จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม ไม่เพียงช่วยให้ร่างกายได้ขยับและกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี คุณสามารถฝึกทำท่าเหล่านี้ได้ทุกวันเพียงไม่กี่นาที ผลลัพธ์ที่ได้คือร่างกายที่แข็งแรงและกระชับยิ่งขึ้น ไม่ว่าคุณจะมีเวลาว่างแค่ตอนเช้าหรือช่วงเย็นก็สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องมีพื้นที่กว้างหรืออุปกรณ์พิเศษ 7 ท่าออกกำลังกายง่ายๆ นี้ไม่เพียงช่วยให้สุขภาพดีขึ้น แต่ยังเป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้ในทุกวันเพื่อสร้างความฟิตให้กับตัวเอง อีกทั้งยังเหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย เพราะท่าเหล่านี้เน้นการเคลื่อนไหวธรรมชาติที่ไม่ทำให้ร่างกายรับภาระมากเกินไป หากคุณพร้อมที่จะเริ่มต้นดูแลสุขภาพและสร้างรูปร่างที่ดีในเวลาสั้น ๆ มาเริ่มกันเลยกับ 7 ท่าออกกำลังกายง่ายๆ ที่ช่วยเผาผลาญไขมันได้ในทันที


1.ท่า Squat

1.ท่า Squatวิธีทำ

  1. ยืนแยกขาออกให้กว้างเท่าระดับไหล่ ปลายเท้าชี้ออกด้านข้างเล็กน้อยเพื่อความมั่นคง
  2. ค่อย ๆ งอเข่าลง โดยรักษาแผ่นหลังให้ตรงและดันสะโพกไปด้านหลัง ราวกับว่ากำลังจะนั่งลงบนเก้าอี้
  3. ลดตัวลงจนถึงระดับเข่าหรือเล็กน้อยสูงกว่า ในขณะที่หายใจเข้า ระวังไม่ให้หัวเข่ายื่นเลยปลายเท้า
  4. ใช้แรงดันจากส้นเท้า ยืดตัวกลับขึ้นมายืนตรงในท่าเริ่มต้น พร้อมหายใจออก
  5. ทำซ้ำประมาณ 15-20 ครั้ง และสามารถเพิ่มจำนวนครั้งหรือทำเป็นเซ็ตเพิ่มเติมได้ตามความสามารถ

เคล็ดลับสำหรับท่า Squat

  • ควรเกร็งหน้าท้องไว้ตลอดเพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่หลังล่าง
  • หากต้องการเพิ่มความท้าทาย สามารถใช้ดัมเบลหรือเคตเทิลเบลเพื่อเพิ่มน้ำหนักในการฝึก
  • ให้แน่ใจว่าร่างกายตรงและแผ่นหลังไม่โก่ง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่เข่าและหลัง

ประโยชน์

ท่า Squat เป็นหนึ่งในท่าออกกำลังกายที่มีประโยชน์หลากหลาย โดยช่วยกระชับกล้ามเนื้อต้นขา สะโพก และน่อง ทำให้ช่วงล่างแข็งแรงและมั่นคงขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นท่าที่กระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตและหัวใจ ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานและไขมันได้มากขึ้น หากทำ Squat เป็นประจำจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความมั่นคงให้กับกล้ามเนื้อข้อต่อขา ทำให้ท่าทางของร่างกายดีขึ้น ลดอาการปวดเมื่อยของขาและเข่า อีกทั้งยังสามารถช่วยลดเซลลูไลท์บริเวณต้นขาและสะโพกได้ ทำให้รูปร่างช่วงล่างดูกระชับเฟิร์ม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับสัดส่วนให้ดูดี


2. ท่า Jumping Jacks

2. ท่า Jumping Jacksวิธีทำ

  1. เริ่มจากการยืนตัวตรง ให้ขาทั้งสองชิดกัน และปล่อยแขนไว้ข้างลำตัวในท่าผ่อนคลาย
  2. กระโดดเบา ๆ พร้อมกับแยกขาออกห่างกันในขณะที่ยกแขนขึ้นไปเหนือศีรษะ ให้แขนและขาเคลื่อนไหวพร้อมกันอย่างสมดุล
  3. กระโดดกลับสู่ท่ายืน โดยนำขากลับมาชิดกันและแขนกลับมาอยู่ข้างลำตัว ทำซ้ำการกระโดดในจังหวะที่สม่ำเสมอ
  4. ทำซ้ำประมาณ 20-30 ครั้งต่อเซ็ต หรือทำตามระยะเวลาที่กำหนด (เช่น 30-60 วินาที) เพื่อเพิ่มความเข้มข้น

เคล็ดลับสำหรับท่า Jumping Jacks

  • ควรเริ่มทำอย่างช้า ๆ และค่อย ๆ เพิ่มความเร็วตามความสามารถของร่างกาย
  • รักษาจังหวะการกระโดดให้สม่ำเสมอและอย่าลืมหายใจตามจังหวะ เพื่อลดการหายใจหอบเมื่อออกกำลังกายต่อเนื่อง
  • สามารถเพิ่มการเผาผลาญได้โดยทำ Jumping Jacks ต่อเนื่องหลายเซ็ตหรือนานขึ้น แต่ควรระมัดระวังไม่ให้กล้ามเนื้อล้าเกินไป

ประโยชน์

ท่า Jumping Jacks เป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่สามารถเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ ท่านี้ยังเป็นการเผาผลาญพลังงานและแคลอรีได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักและเพิ่มความกระฉับกระเฉงให้กับร่างกาย การทำ Jumping Jacks เป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างความฟิตให้ร่างกาย ลดความเหนื่อยล้า และช่วยพัฒนาความคล่องตัวของกล้ามเนื้อขา สะโพก และไหล่ ทำให้ท่าทางร่างกายดูกระฉับกระเฉงและพร้อมสำหรับการออกกำลังกายหนัก ๆ นอกจากนี้ ท่า Jumping Jacks ยังเป็นการวอร์มอัพที่ดี ทำให้ร่างกายเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวที่เข้มข้นกว่าในขั้นต่อไป


3. ท่า Mountain Climbers

 3. ท่า Mountain Climbersวิธีทำ

  1. เริ่มจากท่า Push-up โดยให้ลำตัวตรงและข้อมืออยู่ใต้ไหล่ รักษาแผ่นหลังตรง ไม่ให้หลังแอ่นหรือยกสะโพกขึ้นสูงเกินไป
  2. เกร็งหน้าท้องไว้และดึงเข่าขวาเข้ามาหาศอกขวา ขณะเดียวกันให้ลำตัวคงที่
  3. เหยียดขาขวากลับไปในท่าเริ่มต้นและสลับดึงเข่าซ้ายเข้ามาหาศอกซ้ายในทันที
  4. ทำซ้ำอย่างรวดเร็ว โดยสลับข้างของขาทั้งสองในจังหวะที่สม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดความเข้มข้นและการเผาผลาญที่ดี
  5. ทำต่อเนื่องประมาณ 30-60 วินาที หรือทำซ้ำ 15-20 ครั้งต่อเซ็ต ตามระดับความสามารถ

เคล็ดลับสำหรับท่า Mountain Climbers

  • พยายามเกร็งกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวและควบคุมการเคลื่อนไหวเพื่อลดการกระแทกและช่วยป้องกันการบาดเจ็บ
  • รักษาความเร็วที่สม่ำเสมอในแต่ละเซ็ต โดยปรับความเร็วตามระดับความฟิตของร่างกาย
  • ระวังไม่ให้หลังแอ่นหรือสะโพกสูงเกินไป เพื่อให้ท่าถูกต้องและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ประโยชน์

Mountain Climbers เป็นท่าที่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานและไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่ใช้พลังงานมาก นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้อง แขน ขา และสะโพก อีกทั้งยังเพิ่มความแข็งแรงให้กับหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้ร่างกายฟิตและกระฉับกระเฉงมากขึ้น การทำ Mountain Climbers เป็นประจำยังช่วยพัฒนาความคล่องตัวและความทนทานของกล้ามเนื้อในหลายส่วน เนื่องจากเป็นการเคลื่อนไหวที่ใช้กล้ามเนื้อหลายมัดพร้อมกัน ท่านี้ยังช่วยกระชับกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวและทำให้รูปร่างบริเวณหน้าท้องดูเฟิร์มขึ้น นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออกกำลังกายคาร์ดิโอในพื้นที่จำกัด เพราะไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใด ๆ


4. ท่า Push-ups

 4. ท่า Push-upsวิธีทำ

  1. เริ่มต้นจากการนอนคว่ำ วางฝ่ามือบนพื้นให้กว้างเท่าระดับไหล่ และให้นิ้วมือชี้ไปข้างหน้า ควรวางมือให้อยู่ใต้ระดับไหล่เพื่อช่วยเสริมสร้างความสมดุล
  2. เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องและรักษาลำตัวให้ตรงจากศีรษะจนถึงส้นเท้า ไม่ให้หลังแอ่นหรือสะโพกยกสูง
  3. หายใจออกขณะดันตัวขึ้นโดยใช้กล้ามเนื้อแขน ยืดแขนตรงเต็มที่ แต่ไม่ควรล็อคข้อศอก
  4. หายใจเข้าและลดตัวลงช้า ๆ โดยให้ข้อศอกงอออกด้านข้างเล็กน้อย ลดตัวลงจนหน้าอกอยู่ใกล้พื้นโดยไม่สัมผัส
  5. ดันตัวกลับขึ้นไปในท่าเริ่มต้น ทำซ้ำตามจำนวนครั้งที่ต้องการ เช่น 10-15 ครั้ง หรือปรับตามระดับความสามารถ

เคล็ดลับสำหรับท่า Push-ups

  • ควรเกร็งกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core) ไว้ตลอดเพื่อช่วยป้องกันการบาดเจ็บและรักษารูปทรงลำตัว
  • หากเป็นมือใหม่สามารถลดระดับความยากลงด้วยการทำ Push-ups แบบวางเข่าบนพื้นก่อน เพื่อให้กล้ามเนื้อคุ้นเคยและค่อย ๆ พัฒนา
  • รักษาความเร็วในการทำให้สม่ำเสมอ เน้นการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลและควบคุมได้ดี

ประโยชน์

ท่า Push-ups เป็นการออกกำลังกายที่มีประโยชน์หลากหลาย โดยเฉพาะในเรื่องของการเสริมสร้างกล้ามเนื้อส่วนบน เช่น กล้ามเนื้อหน้าอก ไหล่ แขน และหน้าท้อง ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความกระชับให้กับกล้ามเนื้อส่วนบนของร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ร่างกายสดชื่นและมีกำลังมากขึ้น การทำ Push-ups เป็นประจำยังช่วยให้แขนและไหล่ดูฟิต กระชับ ลดไขมันสะสม ทำให้รูปร่างส่วนบนดูกระชับและเฟิร์มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


5. ท่า Lunges

 5. ท่า Lungesวิธีทำ

  1. เริ่มต้นด้วยการยืนตรง ขากว้างเท่าระดับสะโพก เกร็งกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวไว้เพื่อเสริมความมั่นคง
  2. ก้าวขาหนึ่งข้างไปข้างหน้า โดยวางน้ำหนักให้เท่ากันบนทั้งสองขา
  3. งอเข่าข้างหน้าลงให้ได้มุม 90 องศา และเข่าด้านหลังลดลงให้เกือบแตะพื้น ควรให้เข่าหน้าอยู่ในแนวเดียวกับปลายเท้าเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
  4. ค่อย ๆ ยืดตัวกลับขึ้นมายืนตรง โดยใช้กำลังจากขาที่ก้าวออกไป
  5. สลับทำกับขาอีกข้าง ทำซ้ำ 10-15 ครั้งต่อข้าง หรือปรับจำนวนครั้งตามความสามารถ

เคล็ดลับสำหรับท่า Lunges

  • รักษาลำตัวให้ตรง ไม่โน้มตัวไปข้างหน้า เพื่อให้กล้ามเนื้อขาและสะโพกรับน้ำหนักอย่างเต็มที่
  • ควรให้เข่าหลังลดลงจนเกือบแตะพื้น แต่อย่าลดลงมากเกินไป เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่เข่า
  • หากต้องการเพิ่มความท้าทาย สามารถถือดัมเบลไว้ที่ข้างลำตัวหรือน้ำหนักที่หน้าอกขณะทำ Lunges เพื่อเพิ่มแรงต้าน

ประโยชน์

ท่า Lunges เป็นท่าออกกำลังกายที่มีประโยชน์ในการกระชับกล้ามเนื้อขา สะโพก และกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ทำให้ร่างกายสมดุลและช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับข้อต่อ ท่านี้ไม่เพียงแค่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อขาและสะโพกเท่านั้น แต่ยังช่วยพัฒนาการทรงตัวและความมั่นคงของร่างกาย ทำให้การเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันมีความคล่องตัวมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปร่างช่วงล่างให้ดูดี รวมถึงเป็นหนึ่งในท่าที่มีประสิทธิภาพในการ ออกกำลังกายลดเซลลูไลท์ บริเวณต้นขาและสะโพก ช่วยให้ผิวเรียบเนียนมากขึ้น

การทำ Lunges เป็นประจำจะช่วยให้ขามีความแข็งแรงและกระชับ นอกจากนี้ยังเป็นท่าที่ช่วยเผาผลาญพลังงานและเสริมสร้างกล้ามเนื้อข้อต่อ ทำให้ข้อต่อแข็งแรง ลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บในการเคลื่อนไหวที่ต้องใช้การงอเข่าหรือนั่งยอง ๆ Lunges ยังเหมาะสำหรับการเพิ่มการเผาผลาญพลังงานโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ และสามารถทำได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นในฟิตเนสหรือที่บ้าน


6. ท่า Plank

 6. ท่า Plankวิธีทำ

  1. เริ่มต้นด้วยการนอนคว่ำ ใช้ข้อศอกและปลายเท้าเป็นจุดรับน้ำหนัก โดยวางข้อศอกให้อยู่ตรงกับหัวไหล่และให้แขนทั้งสองข้างขนานกัน
  2. เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องและรักษาลำตัวให้ตรงจากศีรษะถึงส้นเท้า ให้สะโพกอยู่ในระดับเดียวกับลำตัว ห้ามให้สะโพกยกสูงหรือต่ำเกินไปเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
  3. ค้างท่านี้ให้นานที่สุดที่ทำได้ โดยเริ่มจาก 20-30 วินาทีสำหรับผู้เริ่มต้น และเพิ่มเวลาเมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น

เคล็ดลับสำหรับท่า Plank

  • ควรหายใจอย่างสม่ำเสมอและลึก หายใจเข้าทางจมูกและหายใจออกทางปาก เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดีขึ้น
  • รักษาสายตาให้มองตรงลงบนพื้น ไม่เงยศีรษะขึ้นหรือลดลง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่คอ
  • หากต้องการเพิ่มความท้าทาย สามารถทำ Side Plank (พลิกลำตัวไปข้างใดข้างหนึ่ง) หรือ Plank With Leg Raise (ยกขาขึ้นทีละข้าง) เพื่อเพิ่มแรงต้านให้กับกล้ามเนื้อ

ประโยชน์

ท่า Plank เป็นการออกกำลังกายที่เน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core) โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหน้าท้อง สะโพก หลังล่าง และไหล่ การทำ Plank เป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายมีความมั่นคงและสมดุลมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดอาการปวดหลังล่างได้ด้วย เนื่องจากการ Plank ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่สนับสนุนกระดูกสันหลัง ทำให้ร่างกายมีโครงสร้างที่มั่นคง

ท่า Plank ยังเป็นการเผาผลาญแคลอรีที่ดี แม้จะดูเหมือนเป็นท่าคงที่แต่กล้ามเนื้อหลายมัดจะทำงานหนักเพื่อรักษาระดับลำตัวให้นิ่งและสมดุล Plank ยังสามารถพัฒนาความทนทานของกล้ามเนื้อได้ดี หากทำต่อเนื่องและเพิ่มเวลาอย่างค่อยเป็นค่อยไป เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างความแข็งแรงของแกนกลางลำตัวและปรับรูปร่างช่วงหน้าท้องให้กระชับ Plank สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความฟิตให้กับร่างกาย


7. ท่า High Knees

 7. ท่า High Kneesวิธีทำ

  1. เริ่มต้นด้วยการยืนตัวตรง ให้ขากว้างเท่าระดับสะโพก แขนทั้งสองข้างผ่อนคลายไว้ข้างลำตัว
  2. ยกเข่าขึ้นข้างหนึ่งให้สูงเท่าที่สามารถทำได้ โดยตั้งเป้ายกเข่าให้อยู่ในระดับสะโพก และในขณะเดียวกันให้สลับแขนตรงข้ามไปด้วย เช่น หากยกเข่าขวาให้แกว่งแขนซ้ายไปข้างหน้า
  3. สลับยกเข่าอีกข้างหนึ่งอย่างรวดเร็ว ทำต่อเนื่องโดยสลับซ้าย-ขวาในจังหวะที่รวดเร็วและสม่ำเสมอ
  4. ทำ High Knees ต่อเนื่องประมาณ 30-60 วินาที หรือกำหนดจำนวนครั้งที่ต้องการตามความสามารถ

เคล็ดลับสำหรับท่า High Knees

  • เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องไว้ตลอดเวลาเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวและช่วยให้ท่าทางมั่นคงขึ้น
  • พยายามรักษาจังหวะให้สม่ำเสมอและยกเข่าให้สูงตามเป้าหมาย โดยไม่ต้องรีบร้อนจนเสียรูปแบบท่า
  • หากต้องการเพิ่มความเข้มข้น สามารถทำ High Knees ในระดับที่เร็วขึ้นหรือนานขึ้นตามความสามารถของร่างกาย

ประโยชน์

High Knees เป็นท่าออกกำลังกายคาร์ดิโอที่เน้นการเผาผลาญแคลอรีได้อย่างรวดเร็ว ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น เพิ่มความกระฉับกระเฉงและความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อขาและหน้าท้อง นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ทำให้ร่างกายมีความฟิตและสมดุล

การทำ High Knees เป็นประจำสามารถช่วยปรับปรุงความคล่องตัว ความทนทาน และความแข็งแรงของร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังเป็นท่าที่ช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นและความฟิตของกล้ามเนื้อขาและสะโพก ช่วยให้ข้อต่อมีความแข็งแรง ลดอาการตึงและเจ็บเมื่อใช้งานหนัก ท่านี้ยังเป็นการออกกำลังกายที่สามารถทำได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือกลางแจ้ง และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่ใช้พื้นที่น้อย


การออกกำลังกายด้วย 7 ท่าง่าย ๆ เหล่านี้เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเผาผลาญพลังงานและสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากมาย ท่าเหล่านี้ใช้เวลาเพียงเล็กน้อย แต่ให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง ทั้งในเรื่องของการกระชับกล้ามเนื้อ เพิ่มความกระฉับกระเฉง และสร้างสมดุลให้กับร่างกาย ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่บ้าน คอนโด หรือที่ทำงานก็สามารถทำได้ทุกวัน การออกกำลังกายด้วยท่าเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น แต่ยังส่งเสริมสุขภาพจิต ทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และลดความเครียดได้อย่างดี อีกทั้งการฝึกทำเป็นประจำยังช่วยปรับปรุงรูปร่างให้ดูดีขึ้น ซึ่งท่าออกกำลังกายง่าย ๆ นี้สามารถผสมผสานกับแนวทาง ลดน้ำหนักแบบคาร์ดิโอ vs ลดน้ำหนักแบบเวทเทรนนิ่ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การเลือกผสมผสานคาร์ดิโอเพื่อการเผาผลาญพลังงานกับเวทเทรนนิ่งเพื่อการสร้างกล้ามเนื้อจะช่วยให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นกิจกรรมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ๆ โดยไม่ซับซ้อน การออกกำลังกายเล็ก ๆ น้อย ๆ ในแต่ละวันสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในระยะยาว ช่วยให้คุณดูแลสุขภาพแบบครบทุกด้านและพร้อมเผชิญทุกวันด้วยพลังงานที่สดใส


คำถามที่พบบ่อย

1. การออกกำลังกายแบบนี้ช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่?
ใช่ การออกกำลังกายเหล่านี้ช่วยเผาผลาญพลังงานและไขมัน หากทำควบคู่กับการควบคุมอาหารจะเห็นผลเร็วขึ้น

2. ต้องทำท่าออกกำลังกายเหล่านี้นานแค่ไหน?
แต่ละท่าควรทำประมาณ 30-60 วินาที และสามารถพักระหว่างท่าได้ 10-20 วินาที

3. การทำทุกวันจะทำให้กล้ามเนื้อล้าเกินไปหรือไม่?
ท่าเหล่านี้เหมาะสำหรับการทำทุกวัน แต่ควรปรับระดับการทำให้เหมาะสมกับร่างกาย หากรู้สึกเหนื่อยควรให้ร่างกายได้พักบ้าง

4. ท่าเหล่านี้ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษหรือไม่?
ท่าออกกำลังกายทั้งหมดนี้ไม่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ เพียงมีพื้นที่สำหรับการเคลื่อนไหวก็สามารถทำได้ทุกที่


อ้างอิง

Looknat Theerawongkit
Looknat Theerawongkit
จบจากคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันเป็น เทรนเนอร์ส่วนตัว สอนและให้คำปรึกษาด้านการออกกำลังกาย การลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน รวมไปถึงเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ โดยมีประสบการณ์ในวงการมามากกว่า 6 - 7 ปี