การลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการมีรูปร่างกระชับและสุขภาพแข็งแรง แต่คำถามที่พบบ่อยคือ ควรออกกำลังกายแบบไหนดีระหว่าง ลดน้ำหนักแบบคาร์ดิโอ vs ลดน้ำหนักแบบเวทเทรนนิ่ง ทั้งสองแบบนี้มีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนัก แต่ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน คาร์ดิโอเน้นการเผาผลาญแคลอรีอย่างรวดเร็วและช่วยเพิ่มความแข็งแรงของระบบหัวใจและหลอดเลือด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ทันที เช่น การวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ ในขณะที่เวทเทรนนิ่งจะช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อ เพิ่มความกระชับ และทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้นแม้ในเวลาพักผ่อน การเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมจึงขึ้นอยู่กับเป้าหมายเฉพาะของแต่ละคน บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจข้อดีและข้อเสียของทั้งสองวิธี รวมถึงแนะนำวิธีผสมผสานคาร์ดิโอและเวทเทรนนิ่ง เพื่อให้คุณได้ประโยชน์สูงสุดจากการออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเพื่อการลดน้ำหนัก เพิ่มกล้ามเนื้อ หรือรักษารูปร่างให้กระชับ เพื่อให้คุณเลือกวิธีที่สอดคล้องกับเป้าหมายและวิถีชีวิตของคุณมากที่สุด
การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio)
คาร์ดิโอเป็นการออกกำลังกายที่เน้นการกระตุ้นการเต้นของหัวใจและเพิ่มอัตราการไหลเวียนของเลือด โดยการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้นในระยะเวลาที่สั้น อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นระบบหัวใจและหลอดเลือดให้ทำงานได้ดีขึ้น กิจกรรมที่อยู่ในกลุ่มของคาร์ดิโอ ได้แก่ การวิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน การเต้นแอโรบิก รวมถึงการเดินเร็วและการออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจเต้นแรงอย่างต่อเนื่อง การออกกำลังกายแบบนี้เป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ลดไขมันสะสม และเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจไปพร้อม ๆ กัน
ข้อดีของการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ
- เผาผลาญแคลอรีได้เร็ว
คาร์ดิโอเป็นการออกกำลังกายที่สามารถเผาผลาญแคลอรีได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหากออกกำลังกายเป็นระยะเวลาต่อเนื่องและคงที่ การเผาผลาญพลังงานของร่างกายจะเพิ่มขึ้นและช่วยให้ร่างกายสามารถลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น การวิ่ง 30 นาทีสามารถเผาผลาญแคลอรีได้มากกว่าการเดินในเวลาเดียวกัน และยังช่วยให้ระดับการเผาผลาญพื้นฐาน (BMR) สูงขึ้นแม้ในช่วงหลังการออกกำลังกาย
- เสริมสุขภาพของหัวใจและระบบไหลเวียนเลือด
คาร์ดิโอช่วยเสริมความแข็งแรงของหัวใจและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับหลอดเลือด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดสมองได้ การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอช่วยให้เลือดและออกซิเจนไหลเวียนไปยังกล้ามเนื้อและอวัยวะต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ร่างกายมีความสดชื่นและมีสมรรถภาพในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เพิ่มขึ้น
- เพิ่มความอดทนและความคล่องตัว
การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอช่วยพัฒนาความอดทนและความคล่องตัวของร่างกาย ทำให้สามารถทำกิจกรรมที่ใช้พลังงานสูงได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความกระฉับกระเฉงและทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอเป็นประจำจะทำให้ร่างกายสามารถปรับตัวกับการออกกำลังกายที่มีความหนักได้ดีขึ้น เช่น การเดินขึ้นบันได การยกของหนัก หรืองานที่ต้องใช้แรงมากในชีวิตประจำวัน
ข้อเสียของการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ
- อาจทำให้สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
หากออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอมากเกินไปโดยไม่เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ร่างกายอาจเริ่มใช้พลังงานจากกล้ามเนื้อในการเผาผลาญ ส่งผลให้กล้ามเนื้อถูกทำลายและสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจทำให้ร่างกายดูอ่อนแอลงและมีการเผาผลาญที่ต่ำลงในระยะยาว ดังนั้นการทำคาร์ดิโอควรทำควบคู่กับการฝึกเวทเทรนนิ่งเพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อให้คงอยู่
- ต้องใช้เวลานานเพื่อผลที่ชัดเจน
การลดน้ำหนักด้วยการทำคาร์ดิโอต้องใช้เวลานานในการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญแคลอรีอย่างเพียงพอ ควรทำคาร์ดิโออย่างน้อย 30-60 นาทีต่อวันและอย่างน้อย 3-5 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในเรื่องของการลดน้ำหนักและการกระชับรูปร่าง ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อยหรือไม่สามารถทำคาร์ดิโอในระยะยาวได้
- เสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากการใช้งานซ้ำ ๆ
การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอในระยะยาวโดยไม่มีการพักฟื้นเพียงพออาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่ข้อต่อและกล้ามเนื้อ เช่น การวิ่งบนพื้นผิวแข็ง หรือการกระโดดซ้ำ ๆ อาจทำให้เกิดแรงกดที่ข้อต่อ ซึ่งอาจส่งผลต่อเข่าและข้อเท้าได้ง่าย ดังนั้น การพักฟื้นที่เพียงพอและการเลือกอุปกรณ์เสริม เช่น รองเท้าที่เหมาะสมกับการออกกำลังกายชนิดนั้น ๆ เป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงนี้
คาร์ดิโอเหมาะกับใครบ้าง?
คาร์ดิโอเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักและต้องการเผาผลาญแคลอรีอย่างรวดเร็ว รวมถึงผู้ที่ต้องการเสริมความแข็งแรงให้กับระบบหัวใจและหลอดเลือด ผู้ที่ต้องการเพิ่มความกระฉับกระเฉง ความอดทน และความคล่องตัวของร่างกาย รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนไหวต่อเนื่องและสนุกสนาน เช่น การเต้นแอโรบิกหรือการวิ่ง ซึ่งไม่เพียงช่วยเผาผลาญพลังงานเท่านั้น แต่ยังเป็นการฝึกความอดทนที่ทำให้ร่างกายสามารถรองรับการออกแรงได้ดีขึ้นในชีวิตประจำวัน
การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง (Weight Training)
เวทเทรนนิ่งหรือการฝึกด้วยน้ำหนัก เป็นการออกกำลังกายที่เน้นการเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ ความแข็งแรง และความทนทานของร่างกาย โดยใช้การยกน้ำหนักผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ดัมเบล บาร์เบล หรือแม้แต่การใช้น้ำหนักตัวเอง (Bodyweight Training) การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปร่างให้กระชับ เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ และเพิ่มความแข็งแรงในแต่ละส่วนของร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยพัฒนาการทรงตัว ความมั่นคงของข้อต่อ และลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บจากกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
ข้อดีของการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง
- สร้างและกระชับกล้ามเนื้อ
การฝึกเวทเทรนนิ่งช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อในแต่ละส่วนของร่างกาย เช่น แขน ขา หน้าท้อง หลัง และไหล่ โดยการใช้แรงต้านจากน้ำหนัก ทำให้กล้ามเนื้อเพิ่มความกระชับ รูปร่างดูเฟิร์มและมีมัดกล้ามชัดเจนมากขึ้น สำหรับผู้ที่ต้องการให้กล้ามเนื้อโดดเด่น เช่น นักกีฬาหรือผู้ที่ต้องการรูปร่างกระชับ เวทเทรนนิ่งเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ได้ดี
- เพิ่มอัตราการเผาผลาญ
เมื่อกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น อัตราการเผาผลาญพื้นฐาน (Basal Metabolic Rate หรือ BMR) ของร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งหมายความว่าร่างกายจะเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น แม้ในขณะที่ไม่ได้ออกกำลังกาย เวทเทรนนิ่งจึงเป็นวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงานในระยะยาว ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและเผาผลาญไขมันอย่างยั่งยืน
- เสริมสร้างกระดูกและลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน
การฝึกด้วยน้ำหนักช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก เนื่องจากแรงกดที่เกิดจากการยกน้ำหนักจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างมวลกระดูกเพิ่มขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน และทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้สูงอายุและผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกเสื่อม
- ช่วยพัฒนาทักษะการทรงตัวและเสถียรภาพของร่างกาย
เวทเทรนนิ่งไม่เพียงแต่เสริมสร้างกล้ามเนื้อ แต่ยังช่วยเพิ่มความมั่นคงและความแข็งแรงให้กับข้อต่อและกล้ามเนื้อที่ใช้ในการทรงตัว เช่น การฝึกท่า Squats หรือ Lunges ที่ใช้กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ช่วยพัฒนาทักษะการทรงตัวให้มั่นคงและลดความเสี่ยงจากการหกล้มหรือการบาดเจ็บจากการใช้ชีวิตประจำวัน
ข้อเสียของการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง
- ใช้เวลานานในการเห็นผลเรื่องการลดน้ำหนัก
การลดน้ำหนักโดยเน้นเพียงการฝึกเวทเทรนนิ่งอาจใช้เวลานานกว่าเพราะเป็นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อมากกว่าการเผาผลาญแคลอรีในระยะสั้น แต่การเสริมสร้างกล้ามเนื้อในระยะยาวจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น และทำให้ผลลัพธ์มีความยั่งยืน
- ต้องการท่าทางที่ถูกต้องและเทคนิคที่แม่นยำ
เวทเทรนนิ่งต้องการการเรียนรู้ท่าทางและเทคนิคที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ หากทำผิดท่าอาจทำให้เกิดอาการปวดหลัง เจ็บเข่า หรือบาดเจ็บที่กล้ามเนื้ออื่น ๆ การฝึกที่ถูกวิธีจึงสำคัญ โดยเฉพาะผู้เริ่มต้นควรได้รับคำแนะนำจากผู้ฝึกสอนหรือศึกษาเทคนิคอย่างละเอียด
- อาจต้องใช้อุปกรณ์เพิ่มเติม
เวทเทรนนิ่งแบบครบวงจรมักต้องใช้อุปกรณ์เสริม เช่น ดัมเบล บาร์เบล หรือเครื่องยกน้ำหนัก ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ที่ไม่มีอุปกรณ์ที่บ้าน อย่างไรก็ตาม หากไม่มีอุปกรณ์ สามารถทำเวทเทรนนิ่งแบบ Bodyweight Training ได้ เช่น Push-ups, Squats, Plank และ Lunges ที่ใช้น้ำหนักตัวเองเป็นแรงต้าน
- อาจเกิดความเหนื่อยล้าจากการฝึกหนัก
การฝึกเวทเทรนนิ่งที่เข้มข้นอาจทำให้ร่างกายเกิดความเหนื่อยล้า ซึ่งจำเป็นต้องมีการพักฟื้นที่เหมาะสม หากฝึกหนักเกินไปโดยไม่พัก ร่างกายอาจรับมือไม่ไหวและเกิดความเหนื่อยล้าทางกล้ามเนื้อได้ง่าย ดังนั้น การจัดโปรแกรมการออกกำลังกายที่สมดุลระหว่างการฝึกและการพักฟื้นจึงมีความสำคัญ
เวทเทรนนิ่งเหมาะกับใครบ้าง?
เวทเทรนนิ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและต้องการเพิ่มความกระชับให้รูปร่าง รวมถึงผู้ที่ต้องการปรับรูปร่างให้ฟิตและมีมวลกล้ามเนื้อชัดเจน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการเพิ่มอัตราการเผาผลาญในระยะยาว หรือผู้ที่ต้องการเสริมความแข็งแรงของกระดูกและข้อต่อ นอกจากนี้ เวทเทรนนิ่งยังเหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนและเพิ่มความแข็งแรงให้กับข้อต่อและกล้ามเนื้อ
เลือกการออกกำลังกายที่เหมาะกับคุณ
การเลือกว่าจะออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอหรือเวทเทรนนิ่งขึ้นอยู่กับเป้าหมายส่วนตัวของแต่ละคน หากเป้าหมายหลักคือการเผาผลาญแคลอรีอย่างรวดเร็วและการลดน้ำหนัก คาร์ดิโออาจเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะช่วยเผาผลาญพลังงานได้มากในเวลาสั้น ๆ โดยเฉพาะในรูปแบบการออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ในการลดน้ำหนักเร็ว ๆ และช่วยพัฒนาระบบหัวใจและหลอดเลือดไปพร้อมกัน
ในทางกลับกัน หากเป้าหมายคือการเพิ่มความกระชับของกล้ามเนื้อและสร้างความแข็งแรง เวทเทรนนิ่งจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะกว่า การฝึกเวทเทรนนิ่งช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรงและปรับรูปร่างให้กระชับขึ้น อีกทั้งยังมีประโยชน์ในเรื่องของการเพิ่มอัตราการเผาผลาญในระยะยาว เพราะกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและมากขึ้นจะช่วยเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้นแม้ในขณะที่ร่างกายพักผ่อน สำหรับผู้ที่ต้องการทางเลือกที่สามารถทำได้ง่ายและไม่มีอุปกรณ์มากนัก 7 ท่าออกกำลังกายง่ายๆ ก็สามารถช่วยเสริมความแข็งแรงและเพิ่มการเผาผลาญได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์พิเศษ เวทเทรนนิ่งยังเป็นประโยชน์ในเรื่องของความมั่นคงของข้อต่อและเสริมความแข็งแรงของกระดูก ทำให้ร่างกายมีความสมดุลและลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บจากการใช้งานในชีวิตประจำวัน
การผสมผสานคาร์ดิโอและเวทเทรนนิ่งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การผสมผสานการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอและเวทเทรนนิ่งสามารถให้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมทั้งการลดน้ำหนักและการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ โดยสามารถจัดโปรแกรมการออกกำลังกายให้มีความหลากหลายและสมดุล เช่น ออกกำลังกายคาร์ดิโอ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เช่น วิ่งหรือปั่นจักรยาน เพื่อกระตุ้นการเผาผลาญแคลอรีและเสริมสร้างสุขภาพหัวใจ และฝึกเวทเทรนนิ่งอีก 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อสร้างมวลกล้ามเนื้อและปรับรูปร่างให้กระชับ การทำเช่นนี้จะช่วยให้ร่างกายได้ประโยชน์ในทุกด้าน ทั้งการเผาผลาญไขมันและการเพิ่มกล้ามเนื้อ
นอกจากนี้ การออกกำลังกายที่ผสมผสานทั้งคาร์ดิโอและเวทเทรนนิ่งยังช่วยลดความเบื่อหน่ายจากการออกกำลังกายแบบเดิม ๆ การเลือกกิจกรรมที่หลากหลายจะช่วยกระตุ้นความสนใจและทำให้การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่คุณอยากทำต่อเนื่อง การทำงานร่วมกันระหว่างคาร์ดิโอและเวทเทรนนิ่งยังช่วยพัฒนาความสามารถในการทรงตัวและการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินขึ้นบันได การยกของหนัก หรือการทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงงาน การผสมผสานแบบนี้จะช่วยให้ร่างกายมีความสมดุลในทุกด้าน ทำให้คุณมีรูปร่างที่กระชับ แข็งแรง และสุขภาพดีขึ้นในระยะยาว
การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอและเวทเทรนนิ่งมีข้อดีที่แตกต่างกันและสามารถเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงได้ทั้งสองแบบ การเลือกว่าจะใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับเป้าหมายของแต่ละคน โดย ลดน้ำหนักแบบคาร์ดิโอ vs ลดน้ำหนักแบบเวทเทรนนิ่ง มีความต่างที่ชัดเจน คาร์ดิโอเน้นการเผาผลาญพลังงานและช่วยเสริมความแข็งแรงให้ระบบหัวใจและหลอดเลือด เหมาะสำหรับการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เวทเทรนนิ่งช่วยสร้างและกระชับกล้ามเนื้อ ทำให้รูปร่างแข็งแรงและดูดีมากขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มอัตราการเผาผลาญพื้นฐานให้สูงขึ้น การผสมผสานการออกกำลังกายทั้งสองแบบนี้จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์จากทั้งการเผาผลาญไขมันและการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งจะทำให้ร่างกายมีสมดุล ความแข็งแรง และความฟิตที่ดีในระยะยาว นอกจากนี้ การมี แรงจูงใจในการลดน้ำหนัก ก็เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้คุณมุ่งมั่นและสม่ำเสมอในการฝึกฝน การสลับหรือผสมผสานการออกกำลังกายทั้งสองรูปแบบยังช่วยลดความเบื่อหน่ายและเพิ่มความสนุก ทำให้คุณสามารถรักษาสุขภาพได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ไม่ว่าคุณจะมีเป้าหมายในการลดน้ำหนักหรือสร้างกล้ามเนื้อ การออกกำลังกายทั้งคาร์ดิโอและเวทเทรนนิ่งจะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่แข็งแรงและรูปร่างที่ดีในแบบที่คุณต้องการ
คำถามที่พบบ่อย
1. หากต้องการลดน้ำหนักเร็ว ควรเลือกคาร์ดิโอหรือเวทเทรนนิ่ง?
สำหรับการลดน้ำหนักเร็ว คาร์ดิโอเป็นตัวเลือกที่ดีเพราะเผาผลาญแคลอรีได้รวดเร็ว แต่การผสมผสานกับเวทเทรนนิ่งจะช่วยให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานและรูปร่างกระชับขึ้น
2. คาร์ดิโอและเวทเทรนนิ่งทำงานร่วมกันได้ไหม?
สามารถทำงานร่วมกันได้ การออกกำลังกายทั้งสองแบบจะช่วยเสริมกัน โดยคาร์ดิโอช่วยเผาผลาญแคลอรี และเวทเทรนนิ่งช่วยสร้างกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายสมดุล
3. เวทเทรนนิ่งเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือไม่?
เหมาะสม แต่ควรเรียนรู้ท่าทางที่ถูกต้องก่อนและเริ่มต้นจากน้ำหนักที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
4. หากไม่มีอุปกรณ์ สามารถฝึกเวทเทรนนิ่งได้หรือไม่?
ได้ โดยใช้ท่าออกกำลังกายที่ใช้น้ำหนักตัว เช่น Push-ups, Squats, และ Lunges เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
อ้างอิง
- Grant Tinsley, “Cardio vs Weight Lifting: Which Is Better for Weight Loss?”, healthline, October 24, 2017, https://www.healthline.com/nutrition/cardio-vs-weight-lifting-for-weight-loss
- Selene Yeager, “Cardio vs. weights: Which is better for weight loss?”, edition.cnn, September 19, 2017, https://edition.cnn.com/2017/03/06/health/cardio-lifting-weight-loss-partner/index.html
- TIMESOFINDIA, “Strength training vs cardio for fat loss”, timesofindia.indiatimes, March 31, 2023, https://timesofindia.indiatimes.com/life-style/health-fitness/fitness/strength-training-vs-cardio-for-fat-loss/photostory/99121645.cms?picid=99121720